CLA หรือ กรดคอนจูเกเตดไลโนเลอิก(Conjugated
Linoleic Acid) เป็นไอโซเมอร์กับกรดไขมันไลโนเลอิก(Linoleic
Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายพันธะ(PUFA, Polyunsaturated
fatty acid) โดยไอโซเมอร์ของ
CLA ส่วนใหญ่ที่พบคือ c-9, t-11 และ t-10,
c-12 ซึ่งมักจะผสมอยู่ด้วยกัน
แหล่งที่พบในอาหารโดยธรรมชาติคือไขมันจากสัตว์เคี้ยวเอื้อง
เช่น นม เนย และไขมันในเนื้อสัตว์ เนื่องจากสัตว์ประเภทนี้มีจุลลินทรีย์ในระบบลำไส้ที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างของกรดไขมันไลโนเลอิกที่ได้รับจากอาหารสัตว์(หญ้า
และเมล็ดธัญพืช) ให้กลายเป็น CLA ได้
Photo CR: troyspro.com.au |
CLA ที่พบได้ในไขมันวัวโดยปรกติจะมีปริมาณ
1.2-12.5 มก. ต่อไขมัน 1 กรัม
ซึ่งปริมาณการรับประทาน CLA เพื่อผลทางสุขภาพนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ที่
1.5-3.5 กรัมต่อวัน (Crumb and Vattem, 2011) ซึ่งหมายความว่าถ้าเราจะได้รับ CLA จากการรับประทานอาหารปรกติเราต้องกินไขมันวัวในปริมาณตั้งแต่ 120
กรัมถึงเกือบ 3 กก.
Photo CR: oilypedia.com |
ส่วน CLA ที่มีการนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำมากจากไขมันวัว
แต่จะทำมาจากน้ำมันดอกคำฝอย (Safflower Oil)
ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีกรดไลโนเลอิกมาก
โดยนำน้ำมันดอกคำฝอยไปผ่านกระบวนการเปลี่ยนกรดไขมันไลโนเลอิกให้กลายเป็นกรดคอนจูเกเตดไลโนเลอิกหรือ
CLA นั้นเอง ทำให้สัดส่วน CLA ในน้ำมันมีปริมาณสูงถึงประมาณ
80% ของน้ำหนักน้ำมัน
จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องบริโภคน้ำมันในปริมาณมากก็สามารถได้รับปริมาณ CLA ที่เพียงพอที่จะส่งผลต่อสุขภาพ
ประโยชน์ของ CLA
ต่อสุขภาพ
ถึงแม้ว่า CLA จะเป็นที่นิยมในการรับประทานเพื่อลดน้ำหนัก และไขมันส่วนเกิน
แต่แท้จริงแล้วประโยชน์ของ CLA ที่พบครั้งแรกนั้นคือความสามารถในการต้านการกลายพันธุ์
(Anti-mutagen) ซึ่งค้นพบในปี 1978 โดยความบังเอิญในเนื้อย่าง โดยที่ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นสารอะไร
นักวิจัยจึงทำการศึกษาต่อและต่อมาจึงสามารถระบุชื่อสารนี้ว่า CLA (Pariza,
2004)
มีหลายงานวิจัยที่พบว่า CLA มึคุณสมบัติในการยับยั้งกระบวนการเกิดโรคมะเร็งขั้นต่างๆ ซึ่งได้แก่
มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งต่อมลูกหมาก (Crumb
and Vattem, 2011)
CLA ยังมีคุณสมบัติในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย โดยสามารถลดการผลิตสารก่ออักเสบ
และสารก่อภูมิแพ้ที่เกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (Crumb and Vattem,
2011)
CLA กับการลดน้ำหนัก
คุณสมบัตินี้ถึงกับเป็น Highlight
ของ CLA
เพราะเรื่องความอ้วนเนี้ยเป็นอะไรที่เห็นได้จากภายนอก
ต่างจากการป่วยเป็นโรคที่ต้องไปตรวจถึงจะพบ ใครๆก็อยากมีรูปร่างที่ดีสมส่วน
งั้นมาลองดูงานวิจัยกันว่า CLA ช่วยทำให้เราหุ่นดีขึ้นได้หรือไม่
มีงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
และมวลไขมัน (Body Fat Mass)
ในหนูทดลอง(พันธ์ต่างๆ) นักวิจัยจึงได้ทำการวิจัยในมนุษย์ซึ่งผลที่ได้พบว่าประสิทธิภาพของ
CLA ในการลดน้ำหนักนั้นไม่เด่นชัดเท่าที่พบในหนูทดลอง
โดยส่วนใหญ่ประสิทธิภาพของ CLA ที่เห็นผลคือการลดมวลไขมัน(Body
Fat Mass)
ซึ่งมีพบการลดลงของน้ำหนักตัวบ้างแต่น้อยมากส่วนใหญ่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างงานวิจัยที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการลดมวลไขมัน
และการลดน้ำหนักของการรับประทาน CLA
Blankson และคณะ (2000) ได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครที่มีน้ำหนักเกิน และเป็นคนอ้วน(BMI
25-35 kg/m2) โดยให้รับประทาน CLA ในปริมาณต่างๆกัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าปริมาณที่เห็นผลคือ 3.4
และ 6.8 กรัมต่อวัน โดยพบว่าเฉพาะมวลไขมันที่ลดลง แต่มวลกายไร้ไขมัน (Lean
Body Mass) และดัชนีมวลกาย (Body Mass Index)
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
Photo CR: www.weighttraining.com |
Thom และ Gudmundsen (2001) ได้ศึกษาประสิทธิภาพของ CLA ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวปรกติ(BMI
< 25 kg/m2) และออกกำลังกายประจำ โดยให้รับประทานในปริมาณ 1.8 กรัมต่อวัน(ครั้งละ 600 มก. วันละ 3 ครั้ง) เป็นเวลา 12 สัปดาห์
พบว่ากลุ่มที่รับประทานมีมวลไขมันลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน
แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว
มีการศึกษาในปริมาณการรับประทานที่ต่ำลงไปอีกคือที่
0.7-1.4 กรัมต่อวันโดย Mougios และคณะ(2001)
ซึ่งให้รับประทานเป็นเวลาทั้งหมด 8 สัปดาห์โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ 4
สัปดาห์แรกให้รับประทานในปริมาณ 0.7 กรัมและ 4 สัปดาห์ต่อมาให้รับประทานในปริมาณ
1.4 กรัม พบว่ามวลไขมันลดลงในระหว่างช่วงที่สองหรือ 4 สัปดาห์หลัง ซึ่งจากการศึกษานี้สรุปได้ว่าการรับประทาน
CLA ในปริมาณ 0.7-1.4 กรัมต่อวันเป็นเวลา 4-8
สัปดาห์อาจลดมวลไขมันของร่างกายได้
เนื่องจาก CLA ส่วนใหญ่จะมีไอโซเมอร์ c-9, t-11 และ t-10,
c-12 ผสมกันจึงได้มีการศึกษาของ Belury และคณะ
(2003) ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณไอโซเมอร์ของ CLA
ที่พบในเลือดจากการรับประทาน CLA
กับการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว
และระดับฮอร์โมนเลปตินในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน(ผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
และมีระดับฮอร์โมนเลปตินสูงซึ่งทำให้มีความอยากอาหารสูง) โดยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับ
CLA ในเลือดเพิ่มขึ้นจะมีน้ำหนักตัว
และระดับฮอร์โมนเลปตินในเลือดลดลง โดยไอโซเมอร์ที่เห็นผลคือ t-10, c-12
มีการศึกษาผลของ CLA ในการควบคุมน้ำหนักภายหลังการลดน้ำหนัก พบว่าการได้รับ CLA
ในปริมาณ 1.8 หรือ 3.6 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 13 สัปดาห์
ในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน(BMI 27.8 ± 1.5 kg/m2) ที่ผ่านการลดน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารพลังงานต่ำมาเป็นเวลา 3 สัปดาห์ สามารถเพิ่มอัตราการใช้พลังงานระหว่างพัก(Resting metabolic
rate) และช่วยในการเพิ่มมวลกายไร้ไขมัน (Fat-free
mass)
แต่อย่างไรก็ไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการควบคุมน้ำหนักภายหลังการลดน้ำหนักของ CLA
(Kamphuis, et al., 2003)
สำหรับการศึกษาในการรับประทานระยะยาวดังเช่นการศึกษาของ
Gaullier และคณะ (2004) ที่ให้ผู้ทดสอบที่มีน้ำหนักตัวเกิน
(BMI 25-30 kg/m2) รับประทาน CLA ปริมาณ 3.4 และ 3.6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 1 ปี พบว่ามีน้ำหนักลดลง,
BMI ลดลง, มวลไขมันลดลง และมีมวลกายไร้ไขมันเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ CLA และในปีต่อมา Gaullier
และคณะ (2005) ก็ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการรับประทาน
CLA ในปริมาณเดียวกันต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี(เนื่องจากการศึกษาแรกไม่ได้พิจารณาข้อมูลความปลอดภัย)ซึ่งพบว่ามีความปลอดภัยดีและยังคงให้ผลในเรื่องการลดมวลกาย
และมวลไขมันเช่นเดียวกับการศึกษาครั้งก่อน
มีการศึกษาที่น่าสนใจถึงประสิทธิภาพของ CLA ในการป้องกันการเพิ่มน้ำหนักระหว่างช่วงเทศกาลวันหยุดพักผ่อน
โดยให้ผู้ทดสอบที่มีน้ำหนักตัวเกิน (BMI 25-30 kg/m2)
รับประทาน CLA ปริมาณ 3.2 กรัมต่อวัน
เป็นระยะเวลา 6 เดือน
โดยเลือกช่วงเดือนที่เป็นหน้าเทศกาลช่วงปลายปีถึงต้นปี
(เป็นช่วงเทศกาลของต่างประเทศ) โดยทำการตรวจสอบน้ำหนักช่วงเดือนก่อนเทศกาล
(สิงหาคม-ตุลาคม), ช่วงเทศกาล (พฤศจิกายน-ธันวาคม) และช่วงหลังเทศกาล
(มกราคม-มีนาคม) โดยพบว่ากลุ่มที่ได้รับ CLA
มีมวลไขมันที่ลดลง
และยังสามารถป้องกันการเพิ่มน้ำหนักในช่วงฤดูเทศกาลได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ(Watras,
et al., 2007)
โรคอ้วนนั้นไม่ได้พบปัญหาเฉพาะผู้ใหญ่ในเด็กก็พบปัญหาไม่น้อยเช่นกันจึงได้มีการศึกษาผลของ
CLA ในเด็กน้ำหนักเกิน
และเด็กอ้วนที่มีสุขภาพดีที่มีช่วงอายุ 6-10 ปี โดยให้รับประทาน CLA 2.4
กรัมต่อวัน (หรือ 3 กรัม ของน้ำมันที่มี CLA
80%) เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน พบว่ากลุ่มเด็กที่ไดรับ CLA มีมวลไขมันลดลง (Racine, et al., 2010)
ตัวอย่างงานวิจัยที่พบว่าการรับประทาน CLA
ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนส่วนประกอบของร่างกาย (Body composition)
Zambell และคณะ (2000) ได้ศึกษาถึงความสามารถในการเพิ่มการนำพลังงานไปใช้ (Energy
expenditure) ของการรับประทาน CLA โดยศึกษาในผู้ใหญ่สุขภาพดีเพศหญิง
ที่ให้รับประทาน CLA ในปริมาณ 3 กรัมต่อวันเป็นเวลา 64 วัน ผลคือไม่พบการเปลี่ยนแปลงทั้งสัดส่วนส่วนประกอบของร่างกาย
และการนำพลังงานไปใช้
Petridou และคณะ(2003) ได้ทำการศึกษาในผู้หญิงน้ำหนักตัวปรกติแต่มีลักษณะการดำเนินชีวิตที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน(Sedantary
behavior) โดยให้รับประทาน CLA วันละ 2.1
กรัม เป็นเวลา 45 วัน ผลคือพบการเพิ่มของระดับไอโซเมอร์ของ CLA ในเลือด2-5 เท่าแต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนส่วนประกอบของร่างกาย
จากการศึกษาผลของชนิดไอโซเมอร์
และปริมาณรับประทาน CLA ในผู้ใหญ่วัยกลางคนที่มีน้ำหนักเกิน
(BMI 25-30 kg/m2) โดยให้รับประทาน CLA ไอโซเมอร์ c-9, t-11 และ t-10, c-12 ในปริมาณ 1.5 กรัม และ 3 กรัม เป็นเวลา 18 สัปดาห์ พบว่ามีการลดลงของมวลไขมันของทุกกลุ่มที่รับประทาน
CLA ไอโซเมอร์ และปริมาณต่างๆ แต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ
CLA (Malpuech‐Brugère, et al., 2004)
การศึกษาผลของ CLA ในการป้องกันการเพิ่มน้ำหนักหลังการควบคุมอาหารในคนอ้วน (BMI
> 28 kg/m2) โดยให้รับประทาน CLA ในปริมาณ 3.4 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 1 ปี ภายหลังที่มีการควบคุมอาหารมาแล้วเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งพบว่ากลุ่มที่ได้รับ CLA มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและมวลไขมันไม่ต่างจากกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับ CLA (Larsen, et al., 2006)
จากการศึกษาในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
(BMI ≥ 25 kg/m2) ที่ให้รับประทาน CLA ในปริมาณ 2.7 และ 2.8 กรัม ต่อวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์
ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวและสัดส่วนส่วนประกอบของร่างกายเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
(Joseph, et al., 2011)
สิ่งที่ควรตระหนักในการรับประทาน
CLA
การเกิดภาวะดื้ออินซูลิน
มีงานวิจัยที่พบการเกิดภาวะดื้ออินซูลินในหนูทดลองที่ได้รับ
CLA จึงได้สนใจประเด็นนี้แล้วได้ทำการศึกษาในมนุษย์แล้วก็พบภาวะนี้เช่นกัน
ดังเช่นในการศึกษาของ Risérus และคณะในปี
2002 ที่พบว่ากลุ่มคนที่อ้วนลงพุง (รอบเอวมากกว่า 102 ซม. และ BMI
27-39 kg/m2) ที่ได้รับ CLA ไอโซเมอร์ t-10, c-12 เพียงอย่างเดียว
ในปริมาณ 3.4 กรัมต่อวันเป็นเวลา 12
สัปดาห์ จะมีภาวะดื้ออินซูลินเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ
CLA และกลุ่มที่ได้รับ CLA
ที่มีไอโซเมอร์ผสม และสอดคล้องกับการศึกษาต่อมาของ Risérus และคณะ(2004)
ที่พบว่าไอโซเมอร์ t-10, c-12 มีความข้องเกี่ยวกับความบกพร่องของการตอบสนองอินซูลินของเซลล์ ต่อมา Risérus และคณะ(2004)
ก็ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลของอีกไอโซเมอร์ของ CLA
คือไอโซเมอร์ c-9, t-11 ในกลุ่มคนอ้วนที่อ้วนลงพุงเช่นเดียวกัน
(รอบเอวมากกว่า 102 ซม. และ BMI 27-35 kg/m2)
โดยให้ได้รับ CLA ไอโซเมอร์ c-9,
t-11 เพียงอย่างเดียวในปริมาณ 3
กรัมต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน
พบว่ากลุ่มที่ได้รับมีความไวต่ออินซูลินลดลง
และมีค่าบ่งชี้ของการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี CLA
ที่ใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริมนั้นโดยปรกติจะประกอบด้วยไอโซเมอร์
c-9, t-11 และ t-10, c-12 สองชนิดผสมกัน Syvertsen
และคณะ(2007) จึงได้ศึกษาผลของการได้รับ CLA ที่มีสองไอโซเมอร์ผสมกันต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลินในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักมาก
และคนอ้วน(BMI 28-32 kg/m2) ทั้งชายและหญิงโดยให้รับประทานในปริมาณ
3.4 กรัมต่วันเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าการได้รับ CLA ที่มีไอโซเมอร์ผสมไม่ส่งผลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของกูลโคส
และภาวะดื้ออินซูลิน
การออกซิเดชั่นของไขมัน
และการอักเสบ
เนื่องจากกลไกการทำงานของ CLA
ในการต้านมะเร็งบางส่วนมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดออกซิเดชั่นไขมันภายในร่างกาย Basu และคณะ (2000)
จึงได้ทำการศึกษาผลของการได้รับ CLA ในผู้ที่มีสุขภาพดีปรกติ
โดยได้รับในปริมาณ 4.2 กรัมต่อวันเป็นเวลา 3 เดือนซึ่งพบว่ามีค่าบ่งชี้ของการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น และนอกจากนี้ Basu และคณะ
(2000) ยังได้ทำการศึกษาในคนอ้วนที่อ้วนลงพุงอีกด้วย
เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักมีการออกซิเดชั่นของไขมันและการอักเสบมากกว่าปรกติซึ่งจากศึกษาผลของการรับประทาน
CLA ในคนอ้วนที่อ้วนลงพุง(รอบเอวมากกว่า
94 ซม. และ 27< BMI <39 kg/m2) โดยให้รับประทาน CLAในปริมาณ 4.5 กรัมต่อวันเป็นระยะเวลา 1 เดือน
พบว่ามีระดับของค่าบ่งชี้ที่แสดงถึงการออกซิเดชั่นของไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ
CLA และเมื่อหยุดรับประทาน CLA เป็นเวลา
2 สัปดาห์ค่าบ่งชี้การเกิดออกซิเดชั่นเหล่านี้ก็ลดลงมาอยู่ในระดับปรกติ
และเช่นเดียวกับการศึกษาในคนที่อ้วนมากผิดปรกติของ Risérus และคณะ(2004)
ที่พบการออกซิเดชั่นของไขมันเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ได้รับ CLA ไอโซเมอร์ C-9, t-11
มีการศึกษาผลของการรับประทาน CLA ในรูปไอโซเมอร์ผสมต่อการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันและการอักเสบภายในร่างกายของกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับ
CLA ปริมาณ 4.6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 16 สัปดาห์พบว่ามีค่าบ่งชีการอักเสบและการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันภายในร่างกายมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ
CLA (Tholstrup, et al., 2008)
ไขมันสะสมที่ตับ
และนิ่วในถุงน้ำดี
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองที่ได้รับ CLA
พบว่ามีการลดลงของมวลไขมันในเนื้อเยื้อแต่กลับพบการสะสมของไขมันในตับเพิ่มขึ้นโดยไอโซเมอร์ที่น่าจะมีผลคือ
t-10, c-12 ทั้งนี้อาจเนื่องจากการที่
CLA สลายเซลล์ไขมันทำให้ได้กรดไขมันอิสระออกมาซึ่งส่งผลให้ตับต้องรับกรดไขมันอิสระไปและเกิดการสะสมที่ตับ แต่อย่างไรก็ดีกลไกในการสะสมไขมันในตับเนื่องจากการได้รับ
CLA นั้นยังไม่อาจเป็นที่กระจ่างชัดซึ่งยังคงต้องมีการศึกษาต่อไป
(Vvas, et al., 2011; Ferramosca and Zara, 2014)
พบการสะสมของคอลเลสเตอรอลในถุงน้ำดีซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีในหนูทดลอง
(Letona, et al., 2011)
รับประทาน CLA อย่างไรให้เห็นผล และปลอดภัย
จากการตัวอย่างการศึกษาในมนุษย์ดังที่กล่าวในข้างต้นจะเห็นได้ว่า
สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกินและคนอ้วน(BMI ≥
25 kg/m2 : มาตรฐานยุโรป;
BMI ≥ 23 kg/m2 : มาตรฐานเอเชีย)
ปริมาณการรับประทานที่เห็นผลคือ มากกว่า 3 กรัมต่อวัน (คิดที่ปริมาณของ CLA ไม่ใช่ปริมาณน้ำมันดอกคำฝอย เช่น 1 แคปซูลมีน้ำมันดอกคำฝอย 1160 มก.
ซึ่งประกอบไปด้วย CLA 900 มก. นั้นหมายความว่าต้องรับประทาน
4 แคปซูลซึ่งจะได้ CLA 3.6 กรัม) ส่วนคนที่มีน้ำหนักตัวปรกติและมีการออกกำลังกายร่วมด้วยการรับประทานประมาณ
2 กรัมต่อวันก็อาจจะเพียงพอ และคนที่มีน้ำหนักตัวปรกติแต่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานอาจต้องรับประทานมากกว่า
2 กรัมต่อวัน โดยผลที่ได้ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการลดมวลไขมัน
และเพิ่มมวลกายไร้ไขมัน แต่ในเรื่องการลดของน้ำหนักตัวนั้นไม่ค่อยชัดเจน
Photo CR: ilovemyhealth.net |
สืบเนื่องจากการพบว่ากลไกในการทำงานของ
CLA ในการสลายไขมันนั้นอาจเกิดผลเสียต่อร่างกายอันได้แก่
การออกซิเดชั่นของไขมันภายในร่างกาย การอักเสบ และการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน
ซึ่งผลเสียนี้ส่วนใหญ่มักจะพบในผู้ที่มีความอ้วนในระดับอ้วนลงพุง
และนอกจากนี้ยังพบการสะสมไขมันที่ตับ
และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีของสัตว์ทดลอง
ดังนั้นควรมีการรับประทานอาหารเสริมอื่นๆ ร่วมด้วยอันได้แก่
- กรดแกมม่าไลโนเลนิก (GLA) จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า GLA สามารถลดการอักเสบและการสะสมไขมันในตับที่เกิดขึ้นจากการได้รับ CLA ได้ (Nakanishi, et al., 2004) ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มักพบใน น้ำมันโบราจ (Borage oil), น้ำมันเมล็ดแบล็คเคอแรนท์ (Blackcurrant seed oil), น้ำมันดอกอีฟเวนนิ่งพริมโรส (Evening primrose oil) และน้ำมันดอกคำฝอย (Safflower oil) เป็นต้น
- น้ำมันปลา (Fish oil) จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าการได้รับน้ำมันปลาร่วมกับ CLA สามารถลดการสะสมไขมันที่ตับ และภาวะดื้ออินซูลินได้ (Ide, 2005; Fedor, et al., 2012; Fedor, et al., 2013) นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในคนโดยให้รับประทาน CLA ปริมาณ 3 กรัมต่อวันร่วมกับน้ำมันปลาปริมาณ 3 กรัมต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์พบว่านอกจากจะช่วยในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อในคนหนุ่มที่อ้วนแล้ว ยังป้องกันผลกระทบต่อความไวอินซูลินเนื่องจาก CLA ได้อีกด้วย (Sneddon, et al., 2008)
- เรสเวอราทรอล(สารสกัดจากองุ่นแดง) จากการศึกษาในเนื้อเยื้อมนุษย์พบว่าเรสเวอราทรอลสามารถลดการอักเสบ และภาวะดื้ออินซูลินที่เกิดจาก CLA ได้ (Kenedy, et al., 2009)
- น้ำมันเมล็ดแฟลก (Flax seed oil) ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 อยู่สูงเช่นเดียวกับน้ำมันปลา ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสามารถลดการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน และการสะสมไขมันที่ตับเนื่องจาก CLA ได้ (Kelley, et al., 2009)
- สเตอรอลจากพืช (Phytosterol) จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าคุณสมบัติในการต้านออกซิเดชั่นของสเตอรอลจากพืชสามารถลดการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันได้ (da Silva Marineli, et al., 2012)
- กรดโอเลอิก (Oleic acid) จากการศึกษาในเนื้อเยื้อมนุษย์พบว่าสามารถลดการอักเสบที่เกิดจาก CLA ได้ (Reardon, et al., 2012) ซึ่งกรดโอเลอิกจะพบมากในน้ำมันมะกอก และน้ำมันคาโนล่าเป็นต้น
ที่มา
- Pariza, M. W. (2004). Perspective on the safety and effectiveness of conjugated linoleic acid. The American journal of clinical nutrition, 79(6), 1132S-1136S.
- Crumb, D. J., & Vattem, D. A. (2011). Conjugated linoleic acid (CLA)-An overview. International Journal of Applied Research in Natural Products, 4(3), 12-15.
- Blankson, H., Stakkestad, J. A., Fagertun, H., Thom, E., Wadstein, J., & Gudmundsen, O. (2000). Conjugated linoleic acid reduces body fat mass in overweight and obese humans. The Journal of nutrition, 130(12), 2943-2948.
- Thom, E., Wadstein, J., & Gudmundsen, O. (2001). Conjugated linoleic acid reduces body fat in healthy exercising humans. Journal of International Medical Research, 29(5), 392-396.
- Mougios, V., Matsakas, A., Petridou, A., Ring, S., Sagredos, A., Melissopoulou, A., ... & Nikolaidis, M. (2001). Effect of supplementation with conjugated linoleic acid on human serum lipids and body fat. The Journal of nutritional biochemistry, 12(10), 585.
- Belury, M. A., Mahon, A., & Banni, S. (2003). The conjugated linoleic acid (CLA) isomer, t10c12-CLA, is inversely associated with changes in body weight and serum leptin in subjects with type 2 diabetes mellitus. The Journal of nutrition, 133(1), 257S-260S.
- Risérus, U., Arner, P., Brismar, K., & Vessby, B. (2002). Treatment with dietary trans10cis12 conjugated linoleic acid causes isomer-specific insulin resistance in obese men with the metabolic syndrome. Diabetes care, 25(9), 1516-1521.
- Risérus, U., Vessby, B., Arner, P., & Zethelius, B. (2004). Supplementation with trans10cis12-conjugated linoleic acid induces hyperproinsulinaemia in obese men: close association with impaired insulin sensitivity. Diabetologia,47(6), 1016-1019.
- Risérus, U., Vessby, B., Ärnlöv, J., & Basu, S. (2004). Effects of cis-9, trans-11 conjugated linoleic acid supplementation on insulin sensitivity, lipid peroxidation, and proinflammatory markers in obese men. The American journal of clinical nutrition, 80(2), 279-283.
- Syvertsen, C., Halse, J., Høivik, H. O., Gaullier, J. M., Nurminiemi, M., Kristiansen, K., ... & Gudmundsen, O. (2007). The effect of 6 months supplementation with conjugated linoleic acid on insulin resistance in overweight and obese. International journal of obesity, 31(7), 1148-1154.
- Kamphuis, M. M., Lejeune, M. P., Saris, W. H., & Westerterp-Plantenga, M. S. (2003). The effect of conjugated linoleic acid supplementation after weight loss on body weight regain, body composition, and resting metabolic rate in overweight subjects. International journal of obesity, 27(7), 840-847.
- Gaullier, J. M., Halse, J., Høye, K., Kristiansen, K., Fagertun, H., Vik, H., & Gudmundsen, O. (2004). Conjugated linoleic acid supplementation for 1 y reduces body fat mass in healthy overweight humans. The American journal of clinical nutrition, 79(6), 1118-1125.
- Gaullier, J. M., Halse, J., Høye, K., Kristiansen, K., Fagertun, H., Vik, H., & Gudmundsen, O. (2005). Supplementation with conjugated linoleic acid for 24 months is well tolerated by and reduces body fat mass in healthy, overweight humans. The Journal of nutrition, 135(4), 778-784.
- Watras, A. C., Buchholz, A. C., Close, R. N., Zhang, Z., & Schoeller, D. A. (2007). The role of conjugated linoleic acid in reducing body fat and preventing holiday weight gain. International journal of obesity, 31(3), 481-487.
- Racine, N. M., Watras, A. C., Carrel, A. L., Allen, D. B., McVean, J. J., Clark, R. R., ... & Schoeller, D. A. (2010). Effect of conjugated linoleic acid on body fat accretion in overweight or obese children. The American journal of clinical nutrition, 91(5), 1157-1164.
- Zambell, K. L., Keim, N. L., Van Loan, M. D., Gale, B., Benito, P., Kelley, D. S., & Nelson, G. J. (2000). Conjugated linoleic acid supplementation in humans: effects on body composition and energy expenditure. Lipids, 35(7), 777-782.
- Petridou, A., Mougios, V., & Sagredos, A. (2003). Supplementation with CLA: isomer incorporation into serum lipids and effect on body fat of women. Lipids,38(8), 805-811.
- Malpuech‐Brugère, C., Verboeket‐van de Venne, W. P., Mensink, R. P., Arnal, M. A., Morio, B., Brandolini, M., ... & Beaufrère, B. (2004). Effects of two conjugated linoleic acid isomers on body fat mass in overweight humans.Obesity research, 12(4), 591-598.
- Larsen, T. M., Toubro, S., Gudmundsen, O., & Astrup, A. (2006). Conjugated linoleic acid supplementation for 1 y does not prevent weight or body fat regain.The American journal of clinical nutrition, 83(3), 606-612.
- Joseph, S. V., Jacques, H., Plourde, M., Mitchell, P. L., McLeod, R. S., & Jones, P. J. (2011). Conjugated linoleic acid supplementation for 8 weeks does not affect body composition, lipid profile, or safety biomarkers in overweight, hyperlipidemic men. The Journal of nutrition, 141(7), 1286-1291.
- Basu, S., Smedman, A., & Vessby, B. (2000). Conjugated linoleic acid induces lipid peroxidation in humans. FEBS letters, 468(1), 33.
- Basu, S., Risérus, U., Turpeinen, A., & Vessby, B. (2000). Conjugated linoleic acid induces lipid peroxidation in men with abdominal obesity. Clinical science (London, England: 1979), 99(6), 511.
- Tholstrup, T., Raff, M., Straarup, E. M., Lund, P., Basu, S., & Bruun, J. M. (2008). An oil mixture with trans-10, cis-12 conjugated linoleic acid increases markers of inflammation and in vivo lipid peroxidation compared with cis-9, trans-11 conjugated linoleic acid in postmenopausal women. The Journal of nutrition, 138(8), 1445-1451.
- Vyas, D., Kadegowda, A. K. G., & Erdman, R. A. (2011). Dietary conjugated linoleic Acid and hepatic steatosis: species-specific effects on liver and adipose lipid metabolism and gene expression. Journal of nutrition and metabolism,2012.
- Ferramosca, A., & Zara, V. (2014). Modulation of hepatic steatosis by dietary fatty acids. World journal of gastroenterology: WJG, 20(7), 1746.
- Letona, A. Z., Niot, I., Laugerette, F., Athias, A., Monnot, M. C., Portillo, M. P., ... & Poirier, H. (2011). CLA-enriched diet containing t10, c12-CLA alters bile acid homeostasis and increases the risk of cholelithiasis in mice. The Journal of nutrition, 141(8), 1437-1444.
- Nakanishi, T., Oikawa, D., Koutoku, T., Hirakawa, H., Kido, Y., Tachibana, T., & Furuse, M. (2004). γ-Linolenic acid prevents conjugated linoleic Acid–Induced fatty liver in mice. Nutrition, 20(4), 390-393.
- Ide, T. (2005). Interaction of fish oil and conjugated linoleic acid in affecting hepatic activity of lipogenic enzymes and gene expression in liver and adipose tissue. Diabetes, 54(2), 412-423.
- Fedor, D. M., Adkins, Y., Mackey, B. E., & Kelley, D. S. (2012). Docosahexaenoic Acid Prevents Trans-10, Cis-12–Conjugated Linoleic Acid-Induced Nonalcoholic Fatty Liver Disease in Mice by Altering Expression of Hepatic Genes Regulating Fatty Acid Synthesis and Oxidation. Metabolic syndrome and related disorders, 10(3), 175-180.
- Fedor, D. M., Adkins, Y., Newman, J. W., Mackey, B. E., & Kelley, D. S. (2013). The Effect of Docosahexaenoic Acid on t 10, c 12-Conjugated Linoleic Acid-Induced Changes in Fatty Acid Composition of Mouse Liver, Adipose, and Muscle. Metabolic syndrome and related disorders, 11(1), 63-70.
- Kennedy, A., Overman, A., LaPoint, K., Hopkins, R., West, T., Chuang, C. C., ... & McIntosh, M. (2009). Conjugated linoleic acid-mediated inflammation and insulin resistance in human adipocytes are attenuated by resveratrol. Journal of lipid research, 50(2), 225-232.
- Kelley, D. S., Vemuri, M., Adkins, Y., Gill, S. H. S., Fedor, D., & Mackey, B. E. (2009). Flaxseed oil prevents trans-10, cis-12-conjugated linoleic acid-induced insulin resistance in mice. British Journal of Nutrition, 101, 701-708.
- da Silva Marineli, R., Furlan, C. P. B., & Maróstica, M. R. (2012). Antioxidant effects of the combination of conjugated linoleic acid and phytosterol supplementation in Sprague–Dawley rats. Food Research International, 49(1), 487-493.
- Reardon, M., Gobern, S., Martinez, K., Shen, W., Reid, T., & McIntosh, M. (2012). Oleic acid attenuates trans-10, cis-12 conjugated linoleic acid-mediated inflammatory gene expression in human adipocytes. Lipids, 47(11), 1043-1051.
- Sneddon, A. A., Tsofliou, F., Fyfe, C. L., Matheson, I., Jackson, D. M., Horgan, G., ... & Williams, L. M. (2008). Effect of a Conjugated Linoleic Acid and ω‐3 Fatty Acid Mixture on Body Composition and Adiponectin. Obesity, 16(5), 1019-1024.
ที่ดีและจริงใจชอบโพสต์ที่คุณกำลังโพสต์ ... ที่จริงผมชอบและขอขอบคุณที่คุณและข้อเสนอคำแนะนำให้คุณพักการโพสต์
ตอบลบลดความอ้วน | การควบคุมน้ำหนัก
เยี่ยมมากกกก....ขอบคุณครับ
ตอบลบบังเอิญหาข้อมูลของ CLA แล้วมาเจอ ข้อมูลยอดเยี่ยมมากครับ ขอชมเลย
ตอบลบขอมูลดีมากค่ะ^^
ตอบลบ